Share
Explore

icon picker
The Brain Audit

สรุป class เสริมหลังจากพี่ทอย DataRockie ได้มีการเซอร์ไพรส์นักเรียนชาว Bootcamp12 555+ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 ที่ผ่านมาเก็บตก The secret sauce จากหนังสือ The Brain Audit ของอาจารย์ Sean D'Souza
แนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้คือการเปรียบเทียบกระบวนการขายและการตลาดกับการเดินทางในสนามบินที่ต้องผ่านการตรวจสอบกระเป๋าทั้ง 7 ใบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
ลองจินตนาการว่าเราเป็นผู้โดยสารที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน แต่ก่อนจะออกจากสนามบินไปได้ เราต้องแน่ใจว่าได้กระเป๋าทั้ง 7 ใบครบถ้วนแล้ว ซึ่งกระเป๋าแต่ละใบจะช่วยตอบคำถามสำคัญในใจของลูกค้าก่อนการตัดสินใจ
Brain-Audit_7.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
โดยที่กระเป๋าทั้ง 7 ใบประกอบด้วย
Problem
Solution
Target Profile
Ojections
Testimonials
Risk Reversal
Uniqueness
โดยที่ลำดับของกระเป๋านั้นสำคัญมาก The sequence is very important✅

Bag 1: The Problem

Why problem ต้องเกิดก่อน
Problem-Brain-Audit-z.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
เคยไหมที่บางอย่างที่ "ควรจะเป็น" ปัญหา แต่เรากลับไม่เคยคิดจะแก้ไขมันเลย?
ลองนึกภาพถึงการไถTikTok
(พี่ทอยขยี้นะ ฟลุคไม่เกี่ยว555+) หรือการดูซีรี่ Netflix
รู้ตัวอีกทีก็หมดไปแล้ว 5 ชั่วโมงต่อวัน นั่นเท่ากับ 150 ชั่วโมงต่อเดือน แต่ point คือเราไม่กลับมองสิ่งนั้นเป็นปัญหาเลยก็เลย ทำให้เราไม่อยากจะแก้ไขมัน
เหตุผลก็เพราะสมองของเราจะทำงานโดยเริ่มจากการ ตรวจจับ (Detect) ปัญหาก่อน เพื่อช่วยให้เราอยู่รอด ถ้าสมองเราไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือปัญหา เราก็จะไม่พยายามหาทางแก้ ซึ่งตามแนวคิดของอาจารย์ Sean D'Souza ปัญหาเหล่านี้แบ่งได้เป็น 3 ระดับ:
เราไม่รู้ตัวว่าเรามีปัญหาอย่าง case TikTok
เลย → เราไม่พยายามหาทางแก้ปัญหาเลยซึ่งอาจาร sean ของว่าไม่ดีเลย
เรารู้ว่ามีปัญหา แต่เรายังหา solution ในการแก้ยังไม่ได้
เรารู้ปัญหา ละหาsolution ในการแก้ได้ละ
Note ถ้าเราไม่มองสิ่งนั้นเป็นปัญหา เช่น TikTok
เราก็ไม่มีทางคิดจะแก้ไขมัน ดังนั้น หัวใจสำคัญของกระเป๋าใบแรก คือการทำให้ลูกค้ามองเห็นว่าสิ่งที่ทำเป็นอยู่คือปัญหา ละถึงค่อยมี solution

Screenshot 2568-09-21 at 06.18.24.png

ทีงี้ทำไมเราถึงควรนำเสนอทีละปัญหา (Problem Isoation)?

การนำเสนอหลายปัญหาพร้อมกันอาจทำให้ลูกค้า "ชัตดาวน์" (shut down) ได้ง่ายๆ เพราะสมองของมนุษย์มีขีดจำกัดในการประมวลผลข้อมูล หากข้อมูลปัญหาที่เข้ามามีมากเกินไป สมองจะรับรู้ว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อนเกินกว่าที่จะจัดการได้ ทำให้ลูกค้าเลือกที่จะปฏิเสธและไม่สนใจในที่สุด ดังนั้นเราควรจะ present ทีละปัญหาเพื่อให้สื่อสารได้ดียิ่งขึ้น

Bag 2: Solution

BrainAudit-Solutions-z.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
เรามอง solution คือกระจกในการสะท้อนปัญหาของลูกค้า เช่น
ปัญหา การนอนไม่หลับ (Cann’t sleep) กระจกสะท้อนออกมาเป็น "นอนหลับได้ดีขึ้น" (Sleep better) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการจริงๆ
ปัญหาต้องการเว็บไซต์ (Need a website) กระจกก็สะท้อนเป็น "สร้างเว็บไซต์ได้ภายใน 1 ชั่วโมง" (Create a website in less than 1 hour) ที่เป็นการตอบโจทย์เรื่องความง่ายและความรวดเร็ว
ปัญหาคือ Data Science ยากเรียนไม่เข้าใจเลย (Data science is difficult) กระจกก็สะท้อนเป็น "ทำให้ Data Science เข้าถึงได้ง่าย" (Make data science accessible) อย่างการมาเรียน DataBootcamp ของพี่ทอย 555+
สิ่งสำคัญเลย คือ ลูกค้าต้องการ result not information

Bag 3: Target Profile

target-profile-b-scaled.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การขายของให้ทุกคน แต่เป็นการตามหา "คนที่เราสามารถช่วยเขาได้จริงๆ"
ลองจินตนาการว่าเรากำลังมองหาคนๆ หนึ่งที่กำลังมีปัญหาและสินค้าของเราคือทางออกที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เราจะเจอเขาได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้ว่าลูกค้าของเราเป็นใคร เขากำลังเจอกับอะไร และอะไรที่ทำให้เขาทุกข์ใจ เช่น หางานไม่ได้เพราะ สกิลไม่พร้อมพี่จะสมัครงานก็เลยมาเจอพี่ทอย 555+ เมื่อเรารู้แล้วว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เราจะสามารถสื่อสารกับเขาด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา โดยที่ไม่ได้พยายาม "โน้มน้าว" แต่เป็นการ "นำเสนอทางออก" ที่เรารู้ว่ามันจะช่วยเขาได้จริงๆ
การทำความเข้าใจ "คนที่ใช่" จะช่วยให้เราม่เสียเวลาไปกับคนที่ไม่ใช่ สิ่งนี้จะช่วยให้เราจะโฟกัสการขายได้ถูกจุดจริงๆ และไม่ต้องเปลืองพลังงานไปกับคนที่ไม่มีปัญหาหรือไม่ได้ต้องการสิ่งที่เราต้องจะขายหรือนำเสนอ

เริ่มต้นที่ "ปัญหา" จบลงที่ "True Fan"

เรื่องราวของคุณฟลุคคือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหลักการนี้ ครั้งแรกที่เจอพี่ทอยไม่ใช่เพราะกระแส ตอนนั้นไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะฟคมี "ปัญหา" ที่ชัดเจนมากๆ คือหางานไม่ได้555+ละต้องการพัฒนาตัวเองด้าน AI (ฮิตมากกกก) เพื่อให้เก่งขึ้นและได้งานที่ดีขึ้น
การมีปัญหานี่แหละที่ทำให้ฟลุคกลายเป็น True Fan ไม่เพียงแค่อ่านบทความหรือเรียน แต่ยังลงมือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเองอย่างจริงจัง จนกระทั่งเจอทางออกที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ Open House ของ TUXSA ที่เกี่ยวกับ AI พอดีในช่วงที่ฟลุคกำลังเรียนปริญญาโทที่ SIIT ภาคนี้เลย Logistics and Supply Chain Systems Engineering (LSCSE) ขายของแปป555+
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฟลุคได้เจอพี่ทอย ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Community ที่รักการเรียนที่สุดในประเทศไทย และเติบโตจนเราเป็นเรา💛มาจนถึงทุกวันนี้
Screenshot 2568-09-21 at 10.00.45.png
ตอนนี้่น่าจะปีละ555+

ความสัมพันธ์ที่แท้จริง

สิ่งที่อยากจะบอกยอดแชร์อาจดูดีก็จริง แต่สำหรับฟลุคแล้ว สิ่งสำคัญกว่าคือการที่เราได้เจอกับ "คนที่ใช่" หรือ "True Fan" ที่มีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือจากเราจริงๆ เพราะคนกลุ่มนี้แหละที่จะสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน และความสัมพันธ์ที่มั่นคงให้กับเราในระยะยาวครับ (copy มาจากพี่ทอย 555+)
ดังนั้น วิธีการทำตั้งคำถามสำคัญ แทนที่จะคิดว่า "จะขายอะไรดี" ให้ลองเปลี่ยนคำถามเป็น "เราอยากช่วยใคร?" แล้วเราจะพบคนที่ใช่สำหรับสินค้า เย้

Bag 4 : Objections

Brain_Audit_Objections.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
Objections คือเหตุผลที่ลูกค้าไม่อยากจะซื้อของเรา หน้าที่ของเราคือเราพยายามจะตอบคำถามนี้พวกนี้ให้ได้เยอะๆ ยิ่งเราตอบคำถามได้เยอะยิ่งเพิ่มโอกาสในขายของเราได้มากขึ้น โดย Objections จะแบ่งได้ 3 Types:
Perception (คนอื่นบอกมา)
Past Experience (ประสบการณ์ไม่ดี)
Need to know (ข้อมูลที่ลูกค้าอยากรู้)
ที่นี้เจ้าของ Brand ไม่สามารถที่จะตอบคำถาม Objections ได้ด้วยตัวเองก็เลยต้องลิ้งไปสู่กระเป๋าถัดไปซึ่งก็คือ Testimonials

Bag 5: Testimonials

Testimonial-questions-Z.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
Testimonials คือคนที่จะตอบคำถามลูกค้า ซึ่งในการตอบคำถามหรือข้อกังวลของลูกค้า (Objections) คนที่เหมาะสมที่สุดไม่ใช่เรา แต่เป็นคนที่เคยใช้สินค้าหรือบริการของเราแล้วรู้สึกประทับใจจนอยากบอกต่อ
ตัวอย่างเช่น จากใน Live
พี่ทอย DataRockie ไม่สามารถพูดเองได้ว่า Bootcamp ของตัวเองดีที่สุด แต่หากให้นักเรียนที่เคยเรียนมาแล้วเป็นคนบอกเล่าประสบการณ์ของพวกเขาเอง ความน่าเชื่อถือของ Bootcamp ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

Bag 6: Risk Reversal

Screenshot 2568-09-21 at 10.49.54.png
โดย Idea ของ Risk Reversal คือเวลาเราจะจ่ายเงินซื้ออะไรทุกการจ่ายเงินจะมีความเสี่ยงเสมอ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ
Obvious Risks (เช่น จ่ายเงินไปกินบุฟเฟ่แล้วอาหารไม่อร่อย)
Hidden Risks (เช่น ไปกินร้านบุฟเฟ่ละของหมด)
โดยที่หน้าที่เราที่เป็นเจ้าของคือ พยามหาให้จะเจอว่ารู้ค้าจะเจอมีความเสี่ยงอะไรบ้างเมื่อเค้าจ่ายเงินมาซื้อของเรา โดยวิธีการก็อย่าง เช่น
Gaarantee สินค้าที่เกิด Defect จากโรงงาน 25 ปีขึ้นอยู่กับสินค้าและวัสดุ หรือในกรณีคือ Return or Refund ถ้าสมมุติเราซื้อสินค้าละเราไม่ชอบเลย เราสามารถขอเปลี่ยนได้เลย
หน้าที่ของเราคือการ ค้นหาและจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้แทนลูกค้า เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจที่จะจ่ายเงินให้เรา โดยพี่ทอยก็ยกตัวอย่างมาฟฃหลายตัวอย่าง เช่น:
การรับประกันคุณภาพ (Guarantee): ประกันสินค้าที่ครอบคลุมความเสี่ยงที่ชัดเจน เช่น การรับประกันสินค้าที่เกิดจาก Defect ของ
ในการผลิตนานถึง 25 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและวัสดุ
การคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้า (Return or Refund): จัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกค้าได้ลองใช้สินค้าแล้ว เช่น อนุญาตให้ลูกค้าคืนหรือเปลี่ยนสินค้าได้หากไม่พอใจในคุณภาพ
โดยที่ทุกๆ Gurantee ควรที่จะมีชื่อด้วย

Bag 7: Uniqueness

uniqueness-thirty-words.jpg
https://www.psychotactics.com/products/brain-audit-series
Uniqueness → (Why) ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าเราด้วย โดยของ DataRockie "ยิ่งงงงงงงงงงงง เรียนจนต้องขอชีวิต นอนน้อยแต่ก็นอนนะ ง่ายจนงงงงงงง" จากใน class แต่สำหรับฟลุคแล้ว Uniqueness ของ DataRockie ไม่ได้อยู่ที่ตัวบทความ คอร์สเรียน หรือการพูดคุยของพี่ทอยเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ "ผลกระทบที่แท้จริง" ที่สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นในชีวิตทุกคนที่มาติดตามพี่ทอย อย่างพี่ Wanutsara เลยจำชื่อไม่ขอโท่ดดค้าบแต่พี่น่าจะเป็น UX Designer ซึ่งเห็นด้วยเลย
S__6676482.jpg
เห็นด้วยยยมากเลยแง๊

ซึ่งนี่คือจุดที่ DataRockie แตกต่างจากที่อื่นเลย เพราะสิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่ความรู้ แต่คือ การเปลี่ยนแปลง ที่แท้จริง ขนลู๊กกก โดยจะมี 3 เปลี่ยนเลยสำหรับฟลุค เย้
เปลี่ยนนิสัย: จากคนที่อาจจะเคยตื่นสายหรือไม่มีแรงบันดาลใจ กลายเป็นคนที่อยากตื่นเช้าและมีความสุขกับการพัฒนาตัวเอง
เปลี่ยนมุมมอง: จากคนที่มองหาแค่ "ข้อมูล" กลายเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับ "ผลลัพธ์" และการลงมือทำอย่างจริงจัง
เปลี่ยนชีวิต: ทำให้เราเป็น "เวอร์ชันที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน" ซึ่งแก่นแท้ของหนังสือ How to be better at almost everything ที่เน้นเรื่องการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
การที่ DataRockie สามารถส่งมอบผลลัพธ์ในระดับที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้จริง ๆ แบบนี้ คือแก่นแท้ของ Uniqueness ที่สร้าง True Fan และความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง แง๊รักพี่ทอยยยยคับ

Recap

Problem (เริ่มที่ปัญหา)
Solution (นำเสนอทางออกที่ตรงจุ)
Target Profile(ตามหาคนที่ใช่ True Fan)
Ojections (จัดการกับข้อสงสัย)
Testimonials (ลูกค้าจะเป็นคนตอบข้อสงสัย)
Risk Reversal (ความเสี่ยงในการซื้อ มอบความมั่นใจ)
Uniqueness (สร้างความแตกต่าง)
โมเดล "กระเป๋า 7 ใบ" จาก The Brain Audit จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำความเข้าใจลูกค้าและการทำ Product ของเราให้ดีขึ้นเรื่อย ซึ่งไม่ใช่แค่ขายสินค้าได้ แต่ยังเป็นการสามารถสร้าง True Fan ที่จะอยู่กับเราในระยะยาวเหมือนอย่าง DataRockie ทำ

ท้ายสุดนี้ขอขอบคุณทุกคนี่เข้ามาอ่าน และ พี่ทอย ที่มาแชร์ความรู้และหนังสือดีๆ The Brain Audit
ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนรุ่น 12 ทุกคนตั้งใจและมุ่งมั่นมาก และที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัว ที่ซัพพอร์ตเสมอมา
หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการสรุปในครั้งนี้ และสามารถนำหลักการ "กระเป๋า 7 ใบ" ไปปรับใช้ในเส้นทางของตัวเองได้ครับ เย้ โดยฟลุคแปะลิ้งคลิปเต็มไว้ข้างนี้เผื่อใครอยากดูตัวเต็ม

Reference

D'Souza, S. (2007) The Brain Audit: How to get your customers to say YES!. London: Psychotactics Ltd.
DataRockie. (2025) Live The Brain Audit. [YouTube video] 20 September. Available at: https://www.youtube.com/live/3L4TW07FinA?si=6osEWny0303ggfj3 (Accessed: 20 September 2025).

Want to print your doc?
This is not the way.
Try clicking the ⋯ next to your doc name or using a keyboard shortcut (
CtrlP
) instead.